วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

ขมิ้นชันช่วยรักษาอาการอักเสบหัวใจให้ดีขึ้น

สารเคอร์คูมินช่วยให้การอักเสบที่หัวใจดีขึ้นในหนูที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
การศึกษาในหนูแรทที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบที่กล้ามเนื้อหัวใจ
ด้วยการฉีด myosin 0.1 มล. เข้าที่รองอุ้งเท้า (footpad) ของหนู จากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์
แบ่งหนูออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มที่ได้รับสารเคอร์คูมินจากขมิ้นชัน ขนาด 50 มก./กก./วัน และกลุ่มที่ 2 ได้รับสาร 1% gum Arabic ขนาดเท่ากัน เป็นเวลา 3 สัปดาห์
ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มที่ได้รับสารเคอร์คูมิน สามารถลดอัตราส่วนระหว่างน้ำหนักหัวใจต่อน้ำหนักตัว
ลดจำนวนเซลล์ และพื้นที่ที่ทำให้เกิดการอักเสบ รวมทั้งลดระดับของโปรตีน (interleukin-1-beta, tumor necrosis factor-alpha, nuclear factor kappa Bp65 และ GATA-4) ที่ทำให้เกิดการอักเสบที่กล้ามเนื้อหัวใจ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับ 1% gum Arabic

จากการศึกษาในครั้งนี้สรุปได้ว่า สารเคอร์คูมินจากขมิ้นชันมีฤทธิ์ที่ป้องกันการอักเสบหัวใจในหนู ที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบที่กล้ามเนื้อหัวใจ โดยมีผลลดระดับโปรตีน(interleukin-1-beta, tumor necrosis factor-alpha, nuclear factor kappa Bp65 และ GATA-4) ที่ทำให้เกิดการอักเสบได้

ข้อมูลจาก 
หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ถนนศรีอยุธยา พญาไท กทม. 10400 Tel. 0-2644-8677-91 ต่อ 5305, 5316

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ท

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



 รศ.ดร.สมชาย ปิ่นละออ อาจารย์ประจำภาควิชาปรสิตวิทยา ในฐานะผู้วิจัยจากนักวิจัยมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ซึ่งนำ "เคอร์คูมิน" สารสกัดบริสุทธิ์จากขมิ้นชัน มาทำการศึกษาวิจัย เรื่อง "ผลของเคอร์คูมินต่อการสร้างหลอดเลือดในโรคมะเร็งท่อน้ำดีที่สัมพันธ์กับโรคพยาธิใบไม้ตับในสัตว์ทดลอง" ภายใต้การสนับสนุนของศูนย์วิจัยพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี คณะแพทยศาสตร์ มข.
 "เราพบว่าหนูทดลองที่กินอาหารผสมเคอร์คูมิน สามารถชะลอการเกิดมะเร็ง  จำนวนหนูตายลดลง และขนาดของก้อนมะเร็งก็ลดลงได้ ขณะเดียวกัน ผลจากหลอดหลองพบว่า เคอร์คูมินมีฤทธิ์ในการฆ่าเซลล์มะเร็งท่อน้ำดีเพาะเลี้ยงจากมนุษย์ได้ด้วย" รศ.ดร.สมชาย กล่าว
     ทั้งนี้ ในกระบวนการทดลองยังพบว่า สารเคอร์คูมินในขมิ้นชัน มีคุณสมบัติไม่ละลายในน้ำ ดังนั้นการดูดซึมจึงไม่ดีพอ รวมทั้งไม่สามารถคงตัวอยู่ได้นานในกระแสเลือด รศ.ดร.สมชาย จึงได้ร่วมมือกับนักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  พัฒนาให้เป็น "นาโนเคอร์คูมิน" เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งอยู่ในช่วงของการศึกษาวิจัย หากได้ผลการทดลองที่ดีในอนาคตจะพัฒนานำมาใช้ในมนุษย์ต่อไป
     อย่างไรก็ตาม แม้ว่านักวิจัยจะค้นพบสารเคอร์คูมิน ที่ช่วยยับยั้งโรคมะเร็งท่อน้ำดีได้ แต่สิ่งสำคัญที่จะสามารถช่วยลดจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งท่อน้ำดีได้นั้น คือการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการป้องกันตนเอง ไม่รับประทานอาหารแบบสุกๆ ดิบ เพื่อให้ห่างไกลจากโรคพยาธิใบไม้ตับ...ต้นต่อที่จะเสี่ยงเป็นโรคร้ายอย่างมะเร็งท่อน้ำดี นั้นเอง

ข้อมูลจาก 
http://www.siamrath.co.th/web/?q=node/39094

รายงานการวิจัยสารสกัดกระชายดำ

สารสกัดจากกระชายดำปกป้องหัวใจ
การศึกษาผลของสารสกัดจากกระชายดำ
ที่สกัดด้วยเอทานอลต่อการทำงานของหลอดเลือดแดงใหญ่และหัวใจหนูแรท
ที่แยกจากตัวสัตว์ทดลอง พบว่าสารสกัดจากกระชายดำ ขนาด 10-6-10-3 มคก./มล.
ทำให้หลอดเลือดแดงใหญ่ขยายตัว โดยการคลายตัวของหลอดเลือดเปลี่ยนแปลงตามความเข้มข้นของสารสกัดที่เพิ่มขึ้น การศึกษากลไกของสารสกัดจากกระชายดำต่อการขยายตัวของหลอดเลือดแดง พบว่า สารสกัดจากกระชายดำออกฤทธิ์ต่อเซลล์เอนโดทีเลียม (endothelium) โดยกระตุ้นการทำงานของ guanylate cyclase และ nitric oxide syntase (NOS) แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานของ cyclooxygenase (COX) ซึ่งเอนไซม์ทั้ง 3 ชนิดนี้มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด
สารสกัดจากกระชายดำยังออกฤทธิ์ต่อเซลล์กล้ามเนื่อเรียบโดยตรง
โดยยับยั้งการไหลเข้าของแคลเซียมไอออนเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อเรียบ
ซึ่งส่งผลให้หลอดเหลือดขยายตัวตามมา
นอกจากนี้สารสกัดจากกระชายดำยังลดอนุมูลอิสระอีกด้วย
ส่วนการศึกษาในหัวใจของหนูแรทที่แยกจากตัวสัตว์ทดลองให้มีการขาดเลือดหรือสารละลายไปเลี้ยง โดยทำให้หัวใจขาดสารละลาย Kerbs-Henseleit ไปเลี้ยง 20 นาที แล้วให้สารละลายกลับไปเลี้ยงหัวใจ (reperfusion) 30 นาที พบว่าความดันไดแอสโตลิกสุดท้ายของหัวใจห้องล่างซ้าย (LVEDP)
ของหัวใจที่มีการขาดเลือด มีค่าเพิ่มขึ้น แสดงถึง preload หรือปริมาณเลือดที่คั่งค้างอยู่ในหัวใจห้องล่างซ้ายเพิ่มขึ้น และการเปลี่ยนแปลงความดันต่อเวลาของหัวใจห้องล่างซ้าย (dP/dt) มีค่าลดลง แสดงถึงแรงในการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้ายลดลง ขณะที่ในหัวใจของหนูแรทที่มีการขาดเลือดและได้รับสารสกัดจากกระชายดำ ขนาด 100 ไมโครกรัม/มล. มีการทำงานดีขึ้น โดยมีค่า LVEDP ลดลง และค่า dP/dt เพิ่มขึ้น สรุปได้ว่า สารสกัดจากกระชายดำมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ขยายหลอดเลือด และทำให้การทำงานของหัวใจหนูแรทดีขึ้น

ข้อมูลจาก 
หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ถนนศรีอยุธยา พญาไท กทม. 10400 Tel. 0-2644-8677-91 ต่อ 5305, 5316

ซึ่งสารสกัดกระชายดำเป็นส่วนผสมของเครื่องดื่มสมุนไพรคาวาริ
และอาหารเสริมสมรรถภาพท่านชาย Gold Number 9

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ท

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

การรับประทานพิซซ่าเป็นประจำสามารถป้องกันมะเร็งได้


ดร.ซิลวาโน กัลลัส และคณะวิจัยจากสถาบันวิจัยเภสัชกรรมมาริโอ เนกรี ในมิลาน ประเทศอิตาลี อ้างว่า การรับประทานพิซซ่าเป็นประจำสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งในหลอดอาหารลงได้ 59 เปอร์เซ็นต์ ลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งในลำไส้ได้ 26 เปอร์เซ็นต์ และลดความเสี่ยงมะเร็งในปากได้ 34 เปอร์เซ็นต์
คณะวิจัยเชื่อว่าส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้พิซซ่าป้องกันมะเร็งได้ก็คือไลโคฟิน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ผักและผลไม้มีสีส้มหรือแดง ทั้งยังเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งพบมากในมะเขือเทศและช่วยป้องกันมะเร็งในเวลาเดียวกัน
ทั้งนี้ คณะวิจัยได้สัมภาษณ์ผู้ป่วย 3,300 คนที่เริ่มมีอาการมะเร็งในปาก มะเร็งในหลอดอาหาร มะเร็งในลำคอ หรือมะเร็งในลำไส้ เกี่ยวกับการรับประทานอาหารในแต่ละวัน และความถี่ในการรับประทานพิซซ่า โดยในขณะเดียวกันก็สัมภาษณ์ผู้ที่ไม่มีอาการของมะเร็ง 5,000 คนด้วย และพบว่า ผู้ที่รับประทานพิซซ่าอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งจะมีโอกาสเป็นมะเร็งน้อยกว่าผู้ที่ไม่รับประทานเลย
ดร. กัลลัส ผู้นำการวิจัย กล่าวว่า คณะวิจัยของเขาทราบดีว่าซอสมะเขือเทศสามารถป้องกันการเกิดเนื้อร้ายได้ และถึงแม้ผลการศึกษาของเราจะชี้ว่าการรับประทานพิซซ่าเป็นประจำสามารถป้องกันมะเร็งได้ แต่เราก็ไม่ได้ระบุหรือคาดหวังให้ทุกคนบริโภคแต่พิซซ่า เพราะอาหารอย่างอื่นก็สามารถป้องกันมะเร็งได้เช่นกัน
นอกจากนี้ คาร์โล ลา เวชชีอา ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดในมิลาน
ก็กล่าวว่า ผู้ที่ชอบบริโภคพิซซ่าไม่ควรรีบตื่นเต้นดีใจไปกับผลการศึกษา
และหันมารับประทานแต่พิซซ่าเนื่องจากในตอนนี้ยังไม่มีสิ่งใดที่จะยืนยันว่าผลการศึกษานี้เป็นจริง

และอันที่จริงแล้วอาหารที่ชาวอิตาลีรับประทานส่วนใหญ่ก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เพราะมีส่วนผสมของน้ำมันมะกอก
ผักและผลไม้ต่างๆ และยังเป็นอาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ ไม่ใช่อาหารแช่แข็ง หรืออาหารขยะ ยิ่งไปกว่านั้น พิซซ่าของชาวอิตาลีก็เป็นพิซซ่าที่ทำกันในครัวเรือน ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีประโยชน์กว่าพิซซ่าตามร้านอาหารฟาสต์ฟูดต่างๆ 

ประกาศจากองค์การอนามัยโลก


ประกาศจากองค์การอนามัยโลกเกี่ยวกับโรคเรื้อรัง 
เกี่ยวกับโรคเรื้อรัง อย่างเช่น มะเร็ง โรคปอด โรคหัวใจ และเบาหวาน
ว่าปัจจุบันมีสัดส่วนจำนวนของผู้ป่วยเข้าขั้นเป็นโรคระบาดแล้ว
และทำให้มีอัตราผู้เสียชีวิตมากกว่าโรคอื่นๆ รวมกันเสียอีก
ซึ่งในปี 2008 โรคที่ได้กล่าวมา ทำให้คน 57 ล้านต้องเสียชีวิต
ในจำนวนนี้ 2.8 ล้านคนตายเพราะโรคอ้วน
2.5 ล้านคน ตายเพราะดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
และอีกร้อยละ 80 เกิดขึ้นในประเทศที่ประชากรมีรายได้ต่ำถึงปานกลางอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังชี้ถึงสิ่งที่สมควรทำสิบประการในการรักษาสุขภาพ
ได้แก่ อาหารที่รับประทานต้องมีพลังงานเพียงพอ และมีสารอาหารเพียงพอ ปริมาณพลังงานที่ได้รับไม่ควรเกินค่าที่กำหนด 
และรับประทานอาหารที่หลากหลายให้ครบห้าหมู่โดยหลีกเลี่ยงอาหารไขมันอิ่มตัว [Saturated fat],Tranfatty acid
น้ำตาล  
ลดเกลือในอาหาร และสุรา 

รวมถึงการไม่สูบบุหรี่ในที่สาธารณะ และช่วยกันแบนโฆษณาบุหรี่ และในผู้ที่สูงอายุมากกว่า 50 ปีควรจะได้รับวิตามิน B12 เสริม หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ควรจะเสริมอาหารที่มีธาตุเหล็ก และอาหารที่มีวิตามินซีสูงเพื่อเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก 
หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ควรจะเสริมอาหารที่มีกรดโฟลิก ผู้สูงอายุที่มีผิวคล้ำหรือไม่ถูกแดดควรจะได้วิตามินดีเสริม 
ส่วนในกลุ่มคนอ้วนหรือมีน้ำหนักเกินไป มีคำแนะนำดังนี้

การควบคุมน้ำหนักจะต้องรับประทานอาหารให้พลังงานที่ได้รับและใช้ไปเกิดความสมดุล 
การลดน้ำหนักจะต้องค่อยลดพลังงานที่ได้รับจากอาหารโดยที่ไม่ขาดสารอาหาร และเพิ่มการออกกำลังกาย 
สำหรับเด็กที่มีน้ำหนักเกินจะต้องปรึกษาแพทย์ดูแล ก่อนการจำกัดอาหาร 
สำหรับคนท้องต้องควบคุมน้ำหนักอย่าให้เกิน 
สำหรับคนทั่วไปที่มีโรคจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการควบคุมอาหาร 
การจัดการเรื่องน้ำหนัก

การออกกำลังกาย 
ส่งเสริมให้มีกิจกรรมให้มาก อย่านั่งๆนอนๆจะทำให้สุขภาพกาย สุขภาพใจ และการควบคุมน้ำหนักดีขึ้น

สำหรับผู้ใหญ่ ส่งเสริมให้มีกิจกรรมที่ใช้พลังงานปานกลาง มากกว่าปกติวันละ 30 นาทีทุกวันไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน หรือที่บ้าน
เด็กและวัยรุ่นให้ออกกำลังกายวันละ 60 นาทีทุกวัน 
ในคนท้องที่ไม่มีข้อห้ามในการออกกำลังกายให้ออกกำลังปานกลางวันละ 30นาทีทุกวัน
แต่ต้องหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่จะเกิดอันตรายต่อการตั้งครรภ์ 

ผู้สูงอายุต้องมีกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อลดอัตราการเสื่อมของอวัยวะ ต่าง ๆ ภายในร่างกาย
คำแนะนำในเรื่องชนิดของอาหาร 
รับประทานผักและผลไม้ให้มากโดยรับประทานน้ำผลไม้วันละ 2 แก้ว ผักวันละ 2 ถ้วย 
ให้มีการรับประทานผักและผลไม้ที่หลากหลายสับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา 
ให้รับประทานธัญพืชวันละกำมือ เช่นถั่วต่าง เม็ดทานตะวัน เม็ดแตงโม 
ให้รับประทานนมพร่องมันเนยหรือผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนยวันละ 3 ถ้วย 
คำแนะนำอาหารสำหรับเด็ก
เด็กและวัยรุ่นต้องรับประทานธัญพืชบ่อยๆ
เด็กอายุ 2-8ขวบควรจะดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 2 แก้ว
เด็กมากกว่า 9 ขวบควรดื่ม 3 แก้ว

กลุ่มอาหาร

เลือกรับประทานผักและผลไม้อย่างเพียงพอโดยพลังงานที่ได้รับต้องไม่เกินเกณฑ์
ตัวอย่างคนที่ได้รับพลังงาน 2000 กิโลแคลรอรี
จะรับผลไม้ได้ไม่เกิน ผัก 21/2ถ้วยหรือนำผลไม้ไม่เกิน 2 ถ้วย 

ให้เลือกผักและผลไม้ทั้ง 5 กลุ่มสับไปมา 
ให้รับประทานส่วนประกอบของธัญพืช หรือเมล็ดธัญพืช เช่น ข้าว อย่างน้อยวันละ 3 ส่วน 
ดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 3 ถ้วย 
กลุ่มผักและผลไม้

ผลและผลไม้เป็นแหล่งให้สารอาหารแก่ร่างกายเป็นจำนวนมากตามตารางข้างล่าง 
การรับประทานผักและผลไม้จะทำให้ร่างกายได้รับใยอาหารอย่างเพียงพอ 
ผลและผลไม้แต่ละชนิดจะให้คุณค่าทางอาหารแตกต่างกันไป
ดังนั้นต้องสับเปลี่ยนกันไปในแต่ละอาทิตย์ แบ่งผักออกเป็น 5 ชนิด
และปริมาณที่ควรจะรับประทานในแต่ละสัปดาห์ 

ผักใบเขียว 3ถ้วยต่อสัปดาห์ 
ผักใบเหลือง 2 ถ้วยต่อสัปดาห์ 
ถั่ว 3 ถั่วต่อสัปดาห์ 
ผักพวกให้แป้ง(ผักพวกหัว) 3 ถ้วยต่อสัปดาห์ 
ผักอื่นๆ 6 1/2 ถ้วยต่อสัปดาห์ 
ถ้าปฏิบัติได้ก็จะช่วยป้องกันโรคและรักษาชีวิตให้ห่างไกลจากโรคได้

ผลการวิจัยสารสกัดกระชายดำกับการเสริมสมรรถภาพท่านชาย

ผลิตภัณฑ์ Gold Number 9
มีส่วนผสมของสารสกัดจากกระชายดำ
ซึ่งกระชายดำนั้นได้มีผลการวิจัยจากสถาบันต่าง ๆ ดังนี้
จากศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิต ภัณฑ์สุขภาพจากสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

"การทดสอบสารกัดกระชายดำ กับสมรรถภาพทางเพศ โดยใช้หนูตัวผู้ที่เป็นโมเดลในการทดสอบ
โดยให้กินสารสกัดกระชายดำจากนั้นนำมาไว้กับหนูตัวเมียปรากฏว่าหนูตัวผู้ขึ้นขี่หนูตัวเมียมากขึ้น
จากการทดสอบนี้พบว่า การไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศของหนูเพิ่มมากขึ้น มีอิทธิพลในเรื่องความต้องการทางเพศ"

"จากนั้นจึงเพิ่มระดับมาทดสอบกับผู้สูงอายุ โดยมีขั้นตอนตั้งแต่การสร้างบรรยากาศให้ผู้ทดสอบ
และการวัดขนาดอวัยวะเพศ และกรอกแบบ สอบถาม ถือว่าได้ผลเป็นอย่างดี

และสารสกัดจาก  L-Arginine “ไวอะกร้าธรรมชาติ” คือ “แอล-อาจินีน(L-arginine)” ที่ช่วยขยายหลอดเลือดตามอวัยวะให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ที่สามารถช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพทางเพศของท่านชายที่หย่อนสมรรถภาพ
ทางเพศชายโดยการรักษาหลอดเลือด และมีความสามารถในการกันเลือดแข็งตัว
ที่สามารถเกาะกันเป็นก้อนแข็ง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงหัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง




โรคเรื้อรังที่เป็นปัญหาใหญ่ของคนไทย

สาเหตุของการเสียชีวิตของคนในปัจจุบันนั้น มีปัจจัยมากมาย ทั้งจากอุบัติเหตุและจากโรคร้ายต่าง ๆ
โรคที่คนส่วนมากมักเป็นอันดับหนึ่งคงหนีไม่พ้น
โรคมะเร็งหากเป็นแล้วมีโอกาสเสียชีวิตสูง โดยเฉพาะรายที่พบในระยะลุกลาม
ในประเทศไทย โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ติดต่อกันมา 5 ปี
มีผู้เสียชีวิตประมาณปีละ 50,000 คน เฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน
และพบผู้ป่วยรายใหม่ปีละประมาณ 70,000 คน และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โรคมะเร็งที่พบมากที่สุด 6 อันดับแรกในปี 2547
ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งในช่องปาก
โดย
มะเร็งที่ผู้ชายเป็นกันมากอันดับ 1 ได้แก่ มะเร็งตับ
รองลงมาคือ มะเร็งปอดและมะเร็งลำไส้ใหญ่
ส่วน
มะเร็งที่พบในผู้หญิงตามลำดับคือมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม และมะเร็งตับ 

โรคอันดับ 2
ที่พบบ่อย เกิดจากการดื่ม แอลกอฮอล์ เป็นบ่อเกิดให้เกิดโรคโรคตับแข็ง มะเร็งตับ ตับอ่อนอักเสบ โรคกระเพาะและกระเพาะรั่ว ภาวะเลือดออกจากทางเดินอาหาร เป็นต้น
ซึ่งโรคเหล่านี้มักเป็นเรื้อรังและทำให้ผู้เจ็บป่วยทุกข์ทรมาน
และยังก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทำให้เกิดโรคเรื้อรังอื่นๆ ได้อีก เช่น โรคหลอดเลือดสมอง (เส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบ)

โรคอันดับ 3 คืออา
การป่วยทางจิต 1 ใน 3 เกิดมาจากการติดเหล้า
และพบว่าในกลุ่มคนที่มีปัญหาสุขภาพจิตที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ 90% เป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า หรือใช้แอลกอฮอล์
หรือทั้งสองอย่างร่วมกัน โดยผู้ป่วยทางจิตจะมีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงกว่าผู้ป่วยทางกายประมาณ 3 เท่าตัว
โดยเฉพาะคนติดเหล้ามากๆ จะทำให้เกิดอาการประสาทหลอน เห็นภาพหลอน หูแว่ว หลงผิด หวาดระแวง และคลุ้มคลั่ง


โรคอับอับ 4
ได้แก่ โรคที่เกิดจาก โรคระบบทางเดินหายใจ
เนื่องจากสภาวะอากาศและสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ และเชื้อโรคในอากาศ ได้แก่


โรคปอดอักเสบ วัณโรค โรคระบบทางเดินหายใจ เป็นกลุ่มโรคเดียวกัน
แต่ที่ต้องจับตาเฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือวัณโรค ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อว่า มายโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลสิส (Mycobacterium tuberculosis) ตอนนี้กำลังเป็นปัญหาที่มีแนวโน้มจะรุนแรงสูงขึ้น
และจากรายงานขององค์การอนามัยโลกล่าสุดในปี 2549
ระบุว่าพบประชากรโลก 1 ใน 3 หรือประมาณ 2,000 ล้านคนติดเชื้อวัณโรค
และมีผู้ป่วย 15 ล้านคน สำหรับคนไทยคาดว่าราว 20 ล้านคนมีเชื้อวัณโรคในตัว
พร้อมกำเริบหากสุขภาพทรุดโทรมหรือร่างกายอ่อนแอ ก็จะำกำเริบขึ้นมาได้
สาเหตุที่ทำให้ร่ายกายอ่อนแอก็ เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มเหล้าจัด หรือติดเชื้อเอดส์
ผู้ติดเชื้อวัณโรคเหล่านี้อาจป่วยได้ถึงปีละ 1 แสนคน 
ประเทศไทยมีปัญหาวัณโรคอยู่ในอันดับที่ 18 ของโลกและถือว่าเป็นปัญหาสาธารณสุขอันดับ 6 รองจากมะเร็ง
โรคหัวใจ อุบัติเหตุ เอดส์ ไข้เลือดออก
                     ในปี 2549 ตรวจพบผู้ป่วยวัณโรค 58,639 คน ในจำนวนนี้ร้อยละ 70 เป็นผู้ป่วยรายใหม่ที่ตรวจพบเชื้อในเสมหะ ซึ่งสามารถแพร่เชื้อจากการไอจามติดต่อสู่คนรอบข้างได้ ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 15-44 ปี
โรคร้ายที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตนั้น มีความสัมพันธ์กับโรคเรื้อรังที่คนไทยประสบ
โรคเรื้อรังเป็นโรคที่รัฐบาลเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก และก่อให้เกิดโรคร้ายแรงตามมาอีกมากมาย
อย่างความดันสูง การรักษาก็ต้องกินยาตลอด โรคเบาหวาน
ซึ่งในบางคนที่ไม่ดูแลสุขภาพตัวเอง ไม่เคยสังเกต ไม่ตรวจโรคเลย
แล้วเมื่อมีอาการกำเริบ ก็จะพบว่าเป็นอาการของโรคที่เรื้อรังแล้ว ก็อาจจะทำให้ไตอักเสบ หรือเกิดอาการไตวายได้

ทางที่ดีก่อนการเกิดโรคต่าง ๆ ควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ออกกำลังกาย ทานอาหารครบ 5 หมู่
เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค ควรจะป้องกันไว้ก่อนจะดีที่สุด หรือมีอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการรักษาสุขภาพ
คือการรับประทานอาหารเสริม หรือสมุนไพรเพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทานและเสริมสร้างเซลส์ใหม่